สิ่งที่เราไปตามเรื่อง เกี่ยวกับการให้รัฐบาลผลักดัน แรงงานที่ผิดกฎหมายทั้งพม่า-เขมร-จีน-ลาว-และชาติอื่นๆ ก็เนื่องมาจาก การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ร่วมกับนายหน้าค้ามนุษย์ คือคนที่นำแรงงานเถื่อนเข้าประเทศ นายหน้าที่ประสานกับทางราชการ และข้าราชการ ที่ร่วมเก็บส่วย ปกปิด อำพราง โดยเฉพาะแรงงานพม่าที่ผิดกฎหมาย กว่า 4 ล้านคน ในปัจจุบันนี้ ว่า ทำไม่ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือข้าราชการไทยจึงไม่พยายามที่จะ เดินงานอย่างเต็มที่ๆจะผลักดัน แรงงานเถื่อน พม่าออกไปจากประเทศไทย เหตุก็เพราะว่า เขาสามารถสร้างรายได้ จากการรีดไถ เก็บส่วย จากแรงงานเถื่อน การค้าขายเถื่อน เหล่านี้ได้ ปีละหมายหมื่นล้าน ตามตารางที่ ประเมินคร่าวๆ ดังนี้.-..
การเก็บส่วยของเจ้าหน้าที่ต่อแรงงานพม่าเถื่อน ในการเข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย 4ล้านคน เก็บค่าดำเนินการ คนละ 25,000-40,000บาท เฉลี่ยค่ากลางที่คนละ20,000บาท เท่ากับ 80,000 ล้านบาท เมื่อเข้ามาอยู่แล้วเก็บส่วยเฉลี่ยคนละ2,000บาท/เดือนเท่ากับเดือนละ8,000ล้านบาท/เดือนปีละ 96,000ล้านบาท ถ้าคิดรวมทั้งเงินค่าหัวที่ทางเจ้าหน้าที่ และ หน่วยงานอื่นๆ รวมทั้งกลุ่มนายหน้า และขบวนการค้ามนุษย์ ได้ไปรวมเป็นเงิน 176,000 ล้านบาท – เงินเหล่านี้ จำนวนนี้ คนไทย ประเทศไทยไม่ได้อะไรเลยเงินไปอยู่ที่ ข้าราชการ หลายกระทรวง ตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับบน และ นักการเมืองทั้งหมด แต่คนไทยต้องเสียภาษี ไปดูแลต่างด้าวเช่น ค่าเล่าเรียน ลูกคนต่างด้าว – ค่ารักษาพยาบาล – ปีละกว่า 1แสนล้าน ทั้งๆที่ ในขณะที่ เด็ก และเยาวชนคนไทย รวมทั้ง ประชาชนคนไทยในประเทศ ยังไม่ได้รับการดูแล อย่างเสมอภาคกันแต่ประการใด นี่คือเหตุและผลว่า ทำไม เราคนไทยทั้งประเทศ และกลุ่มต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงต้องลูกขึ้นมาต่อสู้ และ เร่งให้รัฐบาล ข้าราชดาร เจ้าหน้าที่รัฐ ให้ดำเนินการตรวจสอบ และคัดแยกคนเหล่านี้ออกมาเป็นกลุ่มๆ แล้วทำการผลักดัน แรงงานพม่า-เขมร-จีน-ลาวที่ผิดกฎหมาย และ กลุ่มผู้มาค้าขายแย่งอาชีพคนไทย รวมทั้งนักธุรกิจจีนที่เข้ามาทำธุรกิจ หลายรูปแบบที่ ส่วนใหญ่จะจ้างแต่แรงงานพม่าที่ผิดกฎหมาย แถมมาแย่งอาชีพคนไทยในทุก สาขาบริการเช่น โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร รถบริการ แต่แทนที่จะเอาคนไทยมาทำงานในทุกกลุ่มที่ทำกลับเอาแรงงานมาจากจีน และแรงงานพม่าที่ผิดกฎหมาย ดังนั้นเมื่อกินก็เอาอาหารมาจากจีน จ่ายเงินเดือนก็จ่ายให้กับคนจีน และ พม่าที่ผิดกฎหมาย การใช้บริการต่างๆก็ของ นอมินีจีน เงินไม่ได้ตกกับประเทศไทย และ คนไทย แม้แต่บาทเดียว ทั้งคนจีน พม่า ลาว เขมร ขนเงินกลับประเทศ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เศรษฐกิจไทย ตกต่ำได้อบย่างไร มันจึงก่อให้เกิดหนี้ครัวเรือน พุ่ง ดังที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้
นี่คือสาเหตุที่เราต้อง ออกมาดำเนินการเร่งให้รัฐบาล ทำการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบทุกตารางนิ้วในประเทศ แล้วแยกคนออกมาเป็นกลุ่มๆคือ กลุ่มแรงงานที่ถูกกฎหมาย MOU.แรงงานที่ผิดกฎหมาย ทุกกลุ่ม และ กลุ่มชาติพันธุ์ ด้วยเหตุดังกล่าวเราจึงยื่นหนังสือถึงรัฐบาล และ กระทรวง กลาโหม – กระทรวงมหาดไทย – กระทรวงแรงงาน – กระทรวงการต่างประเทศ – กระทรวงพานิชย์ และ กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ เป็นคณะทำงาน บูรณาการกัน 21 ตุลาคม ทีมานของเราจึง ไปตามเรื่อง ที่ยื่นไว้ แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่า มีการเดินหน้าแต่อย่างใด ส่วนการตอบมาจากกระทรวงต่างๆก็โยนกันไป โยนกันมา เหมือนไม่เต็มใจที่จะแก้ไขปัญหา ชาติ และประชาชน อย่างใดทั้งสิ้น
แต่กลับปรากฏข่าวจากการนำเสนอของท่าน ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
22 ตุลาคม 2567 ออกมาว่า.-
จากแหล่งช่าวในกัมพูชา คือ กัมพูชาเดลี่ และขแมร์ไทมส์ และข่าวจาก เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ ลงข่าวตรงกันว่ารัฐบาลไทยเป็นฝ่ายเร่งรีบเจรจาพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาในอ่าวไทย การกระทำเช่นนี้ย่อมเสี่ยงเป็นการยกพื้นที่ทางทะเลของไทย ให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนของไทย-กัมพูชา ผลคือเราแทบไม่ได้อะไร พลังงานที่จะตกอยู่กับผู้รับสัมปทานเดิม คือยกให้เชฟรอนของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับสัญญาสัปทานที่ไทยเสียเปรียบเมื่อ 50 ปีก่อน โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้มีเงื่อนไขการยกเลิกสัญญาจนถึงวันนี้ โดยในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐกำลังเสื่อมถอย และในขณะที่ BRICS กำลังสถาปนาสกุลเงินของโลกใหม่ ย่อมเท่ากับไทยประกาศให้แหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ของโลกตรึงอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐ(ปิโตรดอลลาร์)ไปโดยปริยาย ดังนั้นประเทศไทยจะไม่ได้อะไรอย่างที่กล่าวอ้าง ประชาชนไม่ได้อะไรเรื่องค่าไฟฟ้า เพราะปัจจุบันปัญหาที่แท้จริงคือโรงไฟฟ้าเราก็ผลิตล้นเกินจนค่าไฟแพงมหาศาล แหล่งปิโตรเลียมราคาขายให้ประชาชนก็อิงราคาตลาดโลก ก๊าซธรรมชาติผ่านโรงแยกก๊าซก็จะมอบให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีก่อนประชาชน มีแต่สหรัฐอเมริกาจะอาศัยสิทธิ์ให้มีกองกำลังเข้ามาคุ้มครองแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทย เหมือนกับที่จีนเข้ามาคุ้มครองท่อก๊าซธรรมชาติในเมียนมา การใช้นโยบายต่างประเทศเช่นนี้จึงป็นการชักศึกเข้าบ้านในสถานการณ์เปราะบางอ่อนไหวในทางภูมิรัฐศาสตร์ จะมาอ้างไม่ได้ว่าเป็นการเจรจาร่วมเรื่องพลังงานอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับเขตแดน คำถามคือ แล้วแหล่งพลังงานที่เคยเป็นของไทยแท้ๆ ผู้รับสัมปทานหรือแบ่งปันผลผลิตจะเป็นการเซ็นสัญญากับชาติใด? ถ้าเป็นของไทยก็ต้องเซ็นกับรัฐบาลไทยเท่านั้น ถ้ายอมรับว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ก็ต้องเซ็นลงนาม 2 ประเทศ การกระทำเช่นนี้จึงย่อมเท่ากับยกทรัพยากรของไทยในประเทศไทย ให้กลายเป็นของทั้ง 2 ประเทศ เป็นการสละทะเลอาณาเขตของไทย ทั้งๆที่กัมพูชาขีดเส้นทางทะเลอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายสากลคร่อมเกาะกูดประเทศไทย กองทัพเรือและประชาชนชาวไทยจะยอมได้อย่างไร..